รวมวิธีวัดขนาดกระเป๋าเดินทาง วัดแบบไหนให้ถูกต้องตามข้อกำหนดสายการบิน?

วันนี้เราจะชวนทุกคนมาดู “ขนาดกระเป๋าเดินทาง” ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ดูเหมือนง่าย แต่จริงๆ แล้วไม่ง่ายเลย!

ลองนึกย้อนไป ทุกคนคงจะเคยมีคำถามกวนใจเหล่านี้

“อะไรเนี่ย! กระเป๋าถือขึ้นเครื่องของคุณขนาด 22 นิ้ว แล้วทำไมของแบรนด์อื่นเป็น 20 นิ้วล่ะ?”

“กระเป๋าเดินทางของฉันขนาด 22 นิ้ว ทำไมถึงเป็นกระเป๋าถือขึ้นเครื่องไม่ได้? แล้วทำไมของเพื่อนหลายคนก็ขนาด 22 นิ้ว ถึงเอาขึ้นเครื่องได้?”

“กระเป๋าเดินทางใบนี้ขนาดพอๆ กับกระเป๋า 22 นิ้วของที่บ้านเลย ทำไมคุณบอกว่ามันคือ 20 นิ้วล่ะ?”

“คุณบอกว่าควรใช้กระเป๋าเดินทางขนาด 29 นิ้วไปช้อปปิ้งที่ญี่ปุ่น กระเป๋า 29 นิ้วเล็กขนาดนี้เลยเหรอ?”

“ฉันเพิ่งซื้อกระเป๋าเดินทางใบยักษ์มา ไม่รู้จะโดนสายการบินเรียกเก็บเงินค่ากระเป๋าเพิ่มไหม หวังว่าแบรนด์นี้จะไม่หลอกกันนะ!”

เชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะใช้หน่วยวัดแบบ “นิ้ว” ในการวัดขนาดของกระเป๋าเดินทาง แต่จริงๆ แล้วการใช้หน่วยวัดแบบ “นิ้ว” วัดขนาดจะดีจริงเหรอ? ทุกคนเข้าใจการวัดขนาดกระเป๋าจริงๆ หรือว่าเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง วันนี้เราจะมาเล่าสู่กันฟังว่าในท้องตลาดนั้นวัดขนาดกระเป๋าเดินทางกันอย่างไร และเพื่อให้ทุกคนเข้าใจข้อกำหนดขนาดของกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง (carry-on) กับกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่อง (check-in) ของสายการบินมากยิ่งขึ้น

จริงๆ แล้วขนาดของกระเป๋าเดินทางวัดอย่างไรกันแน่?

ในท้องตลาดมีกระเป๋าเดินทางหลากหลายแบรนด์ให้เลือกซื้อ เราได้รวบรวม 2 วิธีในการวัดขนาดกระเป๋าเดินทางที่ใช้กันในท้องตลาดมาดังนี้ 

1. ความสูงของตัวกระเป๋า (ไม่รวมล้อกระเป๋า)

พูดง่ายๆ ก็คือ วิธีการวัดแบบนี้จะวัดแค่ความสูงของตัวกระเป๋า (ดูภาพประกอบด้านล่าง) โดยวัดขนาดกระเป๋าเป็นเซนติเมตร (cm) และเทียบเป็นนิ้ว (inch) (ใช้เครื่องคำนวณด้านล่างคำนวณขนาด)

H: ความสูง

2. ความสูงของกระเป๋าเดินทางทั้งหมด (รวมล้อกระเป๋า)

วิธีการวัดแบบนี้คือวัดความสูงของกระเป๋าเดินทางทั้งหมด ก็คือเอาไม้บรรทัดวัดตั้งแต่ตัวกระเป๋าลงมาจนถึงพื้น (ดูภาพประกอบด้านล่าง) โดยวัดขนาดกระเป๋าเป็นเซนติเมตร (cm) และเทียบเป็นนิ้ว (inch) (ใช้เครื่องคำนวณด้านล่างคำนวณขนาด)

H: ความสูง

มาถึงตรงนี้ได้ข้อสรุปว่า จริงๆ แล้ววิธีการวัดขนาดทั้ง 2 แบบข้างต้นนั้นต่างกันเพียงแค่รวมล้อกระเป๋าด้วยหรือไม่ พอทุกคนอ่านวิธีการวัด 2 แบบจบ คงจะนึกถึงกระเป๋าเดินทางที่มีอยู่ที่บ้านว่า “มีขนาดกี่นิ้วกันแน่?” “วิธีการวัดคือแบบไหน?” “ทำไมต้องทำให้ยุ่งยาก ทำไมไม่ใช้วิธีการวัดแบบเดียวกัน?” ใช่เลย จุดสำคัญอยู่ตรงนี้ ผู้เขียนอยากจะแนะนำวิธีการที่ดีกว่าในการแก้ปัญหาการวัดขนาดกระเป๋าเดินทางให้กับทุกคน ด้านล่างจะอธิบายวิธีวัดขนาดกระเป๋าเดินทาง วิธีที่จะสบายใจได้มากที่สุดและไม่เกิดความผิดพลาด

วิธีการวัดขนาดที่ดีกว่าการใช้หน่วยวัดแบบนิ้ว: วิธีวัดแบบสูง-กว้าง-ลึก

จากตรงนี้ เราจะทำเป็นว่าวิธีการวัดขนาดที่พูดไปข้างต้น 2 แบบนั้นเราไม่ได้พูดถึง เพราะตอนนี้เราจะบอกปัจจัยที่กำหนดว่า “กระเป๋าดินทางถือขึ้นเครื่องได้หรือไม่ได้” และ “กระเป๋าเดินทางที่โหลดใต้ท้องเครื่องต้องเสียเงินเพิ่มไหม” กับทุกคน คำตอบก็คือ: กระเป๋าเดินทางของคุณเป็นไปตามข้อกำหนดขนาดกระเป๋าของสายการบินหรือไม่ ซึ่งก็คือ “วิธีวัดแบบสูง-กว้าง-ลึก”

เราสรุปเป็น 2 ประโยคสั้นๆ มาให้ทุกคนแล้ว:

1. ถ้าบวกขนาดความสูง ความกว้าง และความลึกของกระเป๋าเดินทางแล้ว มีขนาดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 115 เซนติเมตร ก็สามารถถือขึ้นเครื่องได้
2. ถ้าบวกขนาดความสูง ความกว้าง และความลึกของกระเป๋าเดินทางแล้ว มีขนาดน้อยกว่าหรือเท่ากับ 158 เซนติเมตร ก็สามารถโหลดลงใต้ท้องเครื่องได้แบบไม่ต้องเสียเงินเพิ่มเพราะขนาดของกระเป๋าเดินทาง

H: ความสูง, W: ความกว้าง, D: ความลึก

เกร็ดเล็กๆ ที่อยากบอก!
ถ้าไม่มีไม้บรรทัด ทุกคนก็แค่เอาการ์ดของสินค้าออกมาหรือเปิดดูข้อมูลในเว็บไซต์สินค้า และคำนวณขนาดตามข้อมูลข้างบน

สุดท้ายยังมีอีกวิธีในการวัดขนาดกระเป๋าที่ทุกคนคงถูกใจ นั่นก็คือ เลือกกระเป๋าเดินทางของ Departure

ตอนที่ตั้งชื่อสินค้า เพราะเรารู้ว่าหลายคนคงไม่คุ้นเคยกับขนาดของกระเป๋าเดินทาง ยิ่งกว่านั้นคือแต่ละแบรนด์ยังใช้วิธีการวัดขนาดกระเป๋าที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ดังนั้น เราจึงเลือกใช้ขนาดแบบ XS, S, M, L ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี ตอนที่เลือกซื้อสินค้าของเรา ก็เพียงแค่ดูไซซ์ S หรือขนาดที่เล็กกว่า ก็จะเป็นกระเป๋าเดินทางที่สามารถถือขึ้นเครื่องได้! บนเว็บไซต์ของเราก็มีฟิลเตอร์ง่ายๆ ในการเลือกกระเป๋าเดินทางที่เหมาะสมกับทุกคนไว้ให้ด้วย

ถ้าอ่านบทความของเราจบแล้ว ยังมีสิ่งที่ไม่เข้าใจหรืออยากจะรู้ว่าจริงๆ แล้วควรเลือกกระเป๋าเดินทางอย่างไร สามารถฝากข้อความไว้หรือคลิกที่นี่ ให้เราช่วยนะ!